Easy e-Receipt 2567 กับการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจชาติ

Tables et Relais du Terroir  > Business >  Easy e-Receipt 2567 กับการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจชาติ
0 Comments
Easy e-Receipt 2567

เมื่อสภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับคนรุ่นใหม่เริ่มมีความรู้ทางการเงินมากขึ้น ทำให้หลายคนตระหนักถึงความไม่แน่นอนทางการเงิน และจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่าย โดยเลือกที่จะเก็บออมหรือลงทุนมากกว่าจับจ่ายใช้สอย ทว่าหากมองในภาพรวมเป็นมุมกว้างแล้ว สภาวะที่มีการบริโภคอย่างคึกคักนั้นจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่า เพราะทุกสิ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน Easy e-Receipt 2567 จึงเป็นอีกหนึ่งนโยบายจากภาครัฐที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้จ่ายเงิน โดยมีสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจนั่นเอง

การลดหย่อนภาษีผ่านโครงการ Easy e-Receipt 2567 ดีอย่างไร ทำไมควรเข้าร่วม

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า โครงการดังกล่าวคืออะไร ทำไมจึงเกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษี Easy e-Receipt 2567 คือโครงการที่ภาครัฐกำหนดขึ้นเพื่อจูงใจให้ประชาชนออกซื้อสินค้าและใช้บริการภายในประเทศมากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายคือบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้และมีหน้าที่เสียภาษี ไม่ใช่ห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ซึ่งการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน แต่ในขณะเดียวกันการลดหย่อนภาษีก็เป็นสิทธิที่เราทำได้เช่นกัน เพื่อให้เราสามารถบริหารจัดการเงินและอัตราการเสียภาษีของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อดีของการลดหย่อนภาษีนั้นมีดังนี้

1. การลดหย่อนภาษีช่วยให้มีเงินไปบริหารจัดการมากขึ้น

การลดหย่อนภาษีจะช่วยให้มีจำนวนเงินสำหรับนำไปต่อยอดเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งมีแนวทางในการจัดการเงินที่ดีขึ้นด้วย เนื่องจากมีทางเลือกในการลงทุนหรือตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ต้องการได้มากขึ้น การซื้อสินค้าและบริการผ่าน Easy e-Receipt 2567 เป็นช่องทางที่ทำให้การบริโภคมีความคุ้มค่ามากขึ้น นอกจากจะได้ซื้อสินค้าหรือบริการที่จำเป็นแล้ว ยังได้ลดหย่อนภาษีอีกต่อด้วย

2. มองเห็นวิธีการที่ช่วยสร้างคุณค่าให้กับสังคมมากขึ้น

วิธีการลดหย่อนภาษี นอกจากโครงการ Easy e-Receipt 2567 แล้ว ยังมีช่องทางอื่น ๆ ที่ช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลต่าง ๆ ได้โดยตรง เนื่องจากการบริจาคให้องค์กรการกุศลหลายองค์กร สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย และบางองค์กรยังสามารถลดหย่อนได้ 2 เท่าของยอดเงินบริจาค

Easy e-Receipt 2567

Easy e-Receipt 2567 ทำให้เรามีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร

เมื่อได้ทราบข้อดีของการลดหย่อนภาษีไปแล้ว มาดูกันต่อว่า หากเราเข้าร่วมโครงการ Easy e-Receipt 2567 แล้วจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร ซึ่งข้อนี้สามารถพิจารณาได้จากเงื่อนไขที่โครงการกำหนด นั่นคือ การซื้อสินค้าหรือบริการที่อยู่ภายในประเทศไทยเท่านั้น สินค้าและบริการอยู่ในประเภทที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคและบริโภคอย่างหลากหลาย และสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่าง OTOP ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ จะทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้นดังนี้

1. ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอุดหนุดสินค้าและบริการหลากหลายรูปแบบ

นอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ที่สามารถซื้อได้ทันที ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนดของโครงการ Easy e-Receipt 2567 คือช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 ธุรกิจบริการต่าง ๆ ที่ใช้เวลาเพื่อดำเนินการ อย่างเช่นโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ ก็สามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้คุณใช้สิทธิ์ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งภาคสินค้าครัวเรือน และการท่องเที่ยวไปพร้อมกันได้ 

2. ส่งเสริมธุรกิจด้านความสร้างสรรค์มากขึ้น

สินค้ารูปแบบหนึ่งที่ได้รับการยกเว้นว่าไม่ต้องออกใบกำกับภาษีอย่างเต็มรูปแบบ แต่สามารถออกเป็นใบรับอิเล็กทรอนิกส์ได้ ก็คือสินค้าประเภทหนังสือต่าง ๆ ทั้งหนังสือรูปเล่มและหนังสืออีบุ๊ก เป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเกี่ยวกับการสร้างสรรค์เติบโตมากขึ้น แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ช่วยให้สินค้าเหล่านี้ได้รับการโปรโมตจากยอดเข้าชมสินค้ามากขึ้นได้ 

3. กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับระบบออนไลน์มากขึ้น

ผลพลอยได้ระยะยาวที่ควรพิจารณาคือ หากมีผู้ให้ความสนใจใช้สิทธิ์โครงการ Easy e-Receipt 2567 เป็นจำนวนมาก ย่อมแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้รองรับระบบออนไลน์มากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบเพื่อรับรองการซื้อขายและออกใบกำกับภาษีของร้านค้าชุมชน เพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่จะเข้ามาให้บริการทางออนไลน์มากขึ้น เป็นต้น

หวังว่าหลายคนจะสนใจเข้าร่วมโครงการ Easy e-Receipt 2567 มากขึ้น รวมทั้งเข้าใจสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่ตัวเองจะได้รับด้วย ทำให้วางแผนการเงินเพื่อการใช้จ่ายได้อย่างตรงใจ เมื่อมองอีกแง่หนึ่งก็เปรียบเสมือนการลงทุนทางอ้อม ก็คือการใช้เงินของตัวเองเพื่อลงทุนด้านเศรษฐกิจและสังคมในประเทศของเรา ควบคู่ไปกับการต่อยอดจากการลงทุนในพอร์ตส่วนตัว เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีรายได้สูงแล้ว ก็ต้องเป็นผู้มีรายได้สูงที่มีความสุขในการบริโภคด้วยนั่นเอง